จุดจบของ INTP













มีหนังอีกเป็นร้อยเป็นพันเรื่องอ่ะ ที่อยากเขียนลง Blog ถึงหลักพันจริง ๆ นะ ชีวิตนี้ดูหนังมาเยอะมากจนแบบว่า...ฉันต้องตั้งอนุสรณ์ของตัวเองไว้หน่อยและ ว่าฉันดูมาแล้วนะ ฉันดูหนังเยอะนะ ...มั่นหน้าไง

แล้วจุดจบของ INTP คืออะไร? คิด... แต่ไม่ถึง คิด คิด แต่ไม่ถึง ก็คือคิดแต่ไม่ได้ทำนั่นเอง โปรเจคเป็นร้อยเป็นล้าน สำร็จอยู่ 1% บอกเลยว่านี่คือเปอร์เซ็นความสำเร็จที่เยอะมากสำหรับเรา

แล้วยิ่งมาเริ่มเขียน Blog ช้า เท่ากับมีหนังอีกเป็นกองพะเนินที่จ่อคิวรอให้เขียน แล้วแกยังดูหนังใหม่ได้แทบทุกวัน จะบ้าตาย อึดอัดใจ แน่นอก อยากปล่อยของ แต่ Te ไม่ค่อยทำงานเลย เศร้า 

ที่เริ่มเขียนช้าไม่ใช่อะไร เพราะเมื่อก่อนมีคนคุยด้วย เราก็ปล่อยออกทางการคุย การสนทนากัน แต่ตอนนี้ไม่มีใครคุยด้วยและ แน่นอกเลยเขียน Blog ดีกว่า จะให้ไปทำ Youtube ก็อยากทำ แต่ใช้แรงเยอะไป ไม่ไหว แค่ต้องทำภาพประกอบบทความ 1 ภาพต่อ 1 บทความ ก็คร้านจะทำอยู่แล้ว อย่าหวังถึงขั้นวีดิโอเลย สงสารตัวเอง


ซึ่งนี่ยังไม่รวมนิยายกับพลอต และไอเดียงานศิลปะอื่น ๆ อีกเป็นร้อยเป็นล้านที่คิดเก็บไว้ในคลังอย่างบรรเจิดแต่ไม่ได้ทำนะ จะเป็นบ้า เพราะมีของเยอะ แต่ไม่ปล่อยออก ถ้าทำได้นี่คงเป็นศิลปินดังแน่นอน

หลงตัวเองสุด ๆ บอกเลย


ที่บ่นมานี้ แค่จะบอกว่าเพิ่งรู้ว่าตัวเองเป็น INTP แก! ฉันเป็นนักตรรกะว่ะ!

ไม่แน่ใจ 100% หรอก เพราะไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญ แต่ก็มั่นใจกว่าไทป์อื่นที่เคยสงสัย ใช้เวลานานมากกว่าจะเข้าใจเรื่องนี้ ซึ่งพอรู้แล้วสบายใจขึ้นเยอะ

ก่อนหน้านี้หลงคิดว่าตัวเองเป็น INTJ อยู่นานมาก ย้ำว่า นานนนนนมาก และก่อนหน้าจะมาคิดว่าตัวเองเป็น INTJ เคยเข้าใจผิดเพราะแบบทดสอบว่าเป็น INFJ ด้วย

เหตุผลหลัก ๆ คือ ก่อนหน้านี้ไม่รู้จัก/เข้าใจเรื่อง Cognitive Functioning เราก็เชื่อแบบทดสอบไปตามประสา แต่ตามแบบทดสอบมักเห็นได้ชัดว่า F กับ T เรามันตีกันหนักมาก และเราก็เข้าใจไปว่าความรู้สึกย้อนแย้ง ทะเลาะกันในหัวของเรามันมาจากสิ่งนี้

พอตอนหลังเราก็เริ่มยึดติดกับความเป็น Thinking และ Judging ด้วยข้อหาว่า ตัวเองเป็นคนช่างคิดและขี้ตัดสิน ซึ่งมันเป็นการเข้าใจที่ผิด การที่คิดว่าเราเป็นคนช่างคิดมันทำให้เราเข้าใจผิดว่าเราเป็น Te ผลเกินจากการขาดความรู้ล้วน ๆ คือเข้าใจไปว่า Te คือคนช่างคิดที่เด่นชัด 5555

ทำให้ตอนเราอ่านการทำงานของ J กับ P เราก็เห็นว่าตัวเองเป็น P ด้วยเหมือนกัน มีทั้ง J และ P แต่เราไม่ยอมรับ P เราจึงเลือกที่จะมองว่า J เราเด่นกว่า ซึ่งไม่จริง เราแค่คิดไปเอง เลยยึดติดกับความเป็น J มาก

บวกกับช่วงชีวิตขณะนั้น แสดงออกเหมือน INTJ ความเป็น J แสดงออกค่อนข้างเด่น แต่ก็เป็น INTJ ที่ง่อยมาก จึงหลงผิดว่า "คงเพราะฉันติด Loop แหละ" ไปกันใหญ่

แล้วพวก INxx ทั้งหลายเนี่ย miss ไทป์กันง่ายมากกก


เหตุผลที่เป็นแบบนี้เพราะเรายังไม่เข้าใจ Cognitive Function ดีพอ ทั้งขี้เกียจอ่านยาว ๆ เลยอ่านผ่าน ๆ ไม่อ่านภาษาอังกฤษ แล้วก็ไม่ได้ทำความเข้าใจกับมันจริง ๆ แล้วยิ่งจำชื่อเรียกไม่ได้อีก มีทั้ง Dom Aux อะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด เลยปล่อยเบลอแม่ง

แต่ก็พยายามค้นหาไทป์ตัวเองมาตลอด โดยเดาว่าเราน่าจะเป็น INTJ ไว้ก่อน และอาจสับสนกับความเป็น INFJ ซึ่งถ้าจำไม่ผิด สองไทป์นี้มี Function การทำงานที่ต่างกันมาก เราเลยสงสัยว่ามันเป็นไปได้อย่างไร เพราะมันต่างกันมาก

ก็หมกมุ่นอยู่กับการหาคำตอบจนเครียด เพราะไม่เข้าใจ ทำแบบทดสอบทีไรก็ได้แต่ INTJ แบบทดสอบตามเว็บก็เชื่อไม่ค่อยได้ แล้วสรุป "กูเป็นอะไรวะเนี่ย!" โอ้ย เครียด


จนเริ่มคิดว่าจะเลิกสนใจเรื่อง MBTI แล้ว มันไร้สาระ เหนื่อย คงไม่จริงหรอก กำกวม เพราะเวลาอ่านความหมายแต่ละตัวก็แบบ... ได้ทั้งสองตัวเลยนี่หว่า แต่ใช่อย่างละนิดละหน่อย แล้วเสียเวลาไปกับมันอย่างเปล่าประโยชน์เพราะความพยายามอย่างโง่ ๆ หนักมาก ไม่เข้าใจสักที ไม่สนุกอีกแล้ว

จนมีคนมาสอนหาไทป์ใหม่ในกลุ่ม MBTI โดยเริ่มจากการหา Dom ซึ่งเราก็เลือกไม่ได้อีกเหมือนกันว่า ตัวไหนของเราเด่น อาจจะตัดได้สองตัว แต่ก็เหลืออีกสองตัวที่กำลังทะเลาะกันว่าฉันเด่นกว่า

...เนี่ย ความลังเลชัดมาก ชัดมาตลอด แต่ก็ยังชอบสะเออะบอกว่าตัวเองเป็น Judging


ซึ่งแน่นอนว่าตรงนี้ก็ ก็ยึดติดกับการเป็น Ni ด้วย ไม่ยอมวางเลย

เราเลยข้ามไปดูตัวอื่นก่อน ซึ่งตรงนี้แหละที่ทำให้เราเริ่มเข้าใจการทำงานและลำดับของ Function มากขึ้นโดยไม่ต้องอาศัยความจำ

คือเรามีความจำแย่มาก โดยเฉพาะชื่อ วิธีที่จะทำให้จำได้คือ ต้องเป็นเรื่องราวหรือมีความเชื่อมโยงกัน ทั้งนี้ ทั้งนั้นถ้าเห็นความเชื่อมโยง ที่มาที่ไป ทุกอย่างคือง่ายหมด เข้าใจ

เราเลยได้มานั่งดู Function ย่อยของแต่ละตัว แล้วตัดตัวที่ไม่ใช่เราออก ผสมกับการค่อย ๆ เข้าใจลำดับ Function เด่นและด้อยไปด้วย ซึ่งตรงนี้อธิบายไม่ได้ว่าเกิดจากกระบวนการอะไรถึงเข้าใจ เพราะไม่รู้จ้า พอเข้าใจก็คือเข้าใจเลย แค่นั้น

จนเริ่มคิดว่าหรือเราจะเป็น INTP กันนะ เพราะคำอธิบายไทป์ และกลุ่มคนที่เป็นไทป์นี้ มีความคล้ายคลึงกันกับที่เราเป็นมาก แบบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกับ INTJ กับ INFJ สองไทป์นี้มันมาในความรู้สึกของการพยายามค้นหามากกว่า แต่ INTP คือไทป์ที่ทำให้เรารู้สึกว่าเป็นตัวเองที่สุด

ซึ่งเราไม่เคยทำแบบทดสอบตามเว็บแล้วได้ตัวนี้เลย เรามักได้ระหว่าง INTJ กับ INFJ เสมอ ยกเว้นครั้งหนึ่ง *ปักหมุดไว้ก่อน


จนในที่สุดเราก็ได้คำตอบสรุปกับตัวเองว่าเราเป็น INTP ที่แสร้งหรือแสดงออกเป็น INTJ ก็คือเลียนแบบ Function การทำงานของ INTJ มานั่นแหละ พูดง่าย ๆ

ซึ่งพอเทียบดู Function แล้ว มันก็ให้คำตอบกับเราในทันทีว่า ช่วงเวลาหลายปีที่เราพยายามทำตัวแบบนี้ แต่ผลออกมามันค่อนข้างง่อย มันเป็นเพราะอะไร


INTJ คือ Ni > Te > Fi > Se

INTP คือ Ti > Ne > Si > Fe


ตอนนั่งตัด Function ผสมเราอ่านด้วยความเข้าใจของเราแล้วตัดออกมาได้ Function เหมือนของ INTJ มาก แต่ก็ยังรู้สึกว่าเราไม่ใช่


พอมองย้อนกลับไปในช่วงระยะเวลาที่เราเป็นเหมือน INTJ และคิดว่าเป็น INTJ มันเป็นช่วงที่เราเริ่มกดดันตัวเองมา เป็นช่วงที่ชีวิตเรากำลังเปลี่ยนผ่านจากวัยหนึ่งไปสู่อีกวัยหนึ่ง เปลี่ยนสังคม ต้องเริ่มรับผิดชอบตัวเอง ปรับตัว มันคือช่วงขึ้นมหาวิทยาลัย และเป็นช่วงที่ผลแบบทดสอบตามเว็บของเราเปลี่ยนแปลงไปด้วย

สกิล INTJ คือสกิลที่เราใช้พึ่งพิงในการดำเนินชีวิตตลอด 4 ปีที่เรียนอยู่ ซึ่งมันช่วยเราในการจัดการชีวิตได้ดีและเป็นแบบแผนในระดับหนึ่ง จนเรารู้สึกดีกับสกิลเหล่านั้น แล้วคิดว่านั่นคือตัวเรา ที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว เติบโตขึ้นแล้ว ซึ่งมันคล้ายกับคนไทป์ INTJ

แต่หากสังเกตดูดี ๆ จะพบว่า เราใช้สกิลแบบ INTJ ได้ไม่สุดทาง และค่อนข้างจะง่อยพอสมควร เห็นได้ชัดเลยคือเรื่องความเป็นระเบียบ เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่ทำให้เราเริ่มรู้สึก เอ๊ะ ในความเป็นตัวเอง

แต่เดิมเป็นคนรก พอขึ้นมหาลัยกลายเป็นระเบียบจัดมาก แล้วไปสรุปสุดท้ายที่ตกม้าตาย ระเบียบได้ไม่สุด เป๊ะกับทุก ๆ อย่างได้ไม่สุด ชอบการยืดหยุ่น

ต้องจัดการตารางงานและมี Routine นะ จะทำอะไรอันไหนก่อนหลัง เมื่อไหร่ต้องรู้ แต่สุดท้ายก็ยืดหยุ่นอยู่ดี เหมือนมีแพลนไว้ประดับหิ้ง อะไรที่ต้องทำติดต่อกันเป็นประจำ จะล่มเสมอ

แล้วอีกมากมาย ที่นำมาซึ่งความ Paradox จนทำให้มีแอบหลงคิดไปบ้างว่าตัวเองเป็น INFJ รึเปล่า เพราะมันแสดงออกแบบนี้ ไปกันใหญ่เลยทีนี้ ยิ่งมักตีกันระหว่าง T กับ F ด้วยแล้ว เลยหลงเชื่อไป

แต่ก็เป็นการเชื่อที่ไม่สนิทใจ


พอเราเข้าใจเหตุและผลของมัน เราเลยเข้าใจขึ้นมาว่าทำไมเราถึงดูเป็น INTJ ทั้งที่เรารู้สึกว่าไม่ใช่ และไม่เก่งเอาเสียเลยกับการเป็น INTJ นั่นเพราะว่าเราแค่ทำตัวเหมือน

ดังนั้นทันทีที่เข้าใจเรื่องนี้ก็รู้สึกโล่งมาก รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น เข้ากันได้กับความเป็น INTP มากกว่าตอนที่เคยคิดว่าตัวเองเป็น INTJ หรือ INFJ

แล้วเราก็เกิดสงสัยในทันทีว่า แบบทดสอบบนเว็บหนึ่งที่เราเคยทำ ซึ่งน่าเชื่อถือกว่าเว็บอื่น ๆ บนออนไลน์ และเป็นแบบทดสอบที่คำนวณไทป์จาก Function การใช้งาน เราได้ไทป์อะไร

เพราะเว็บนั้นให้คำตอบไว้หลายแบบมาก มีอยู่สามคำตอบ เราจำได้ว่า 2 ใน 3 เราได้ INTJ แต่ความเป็น J ของเราค่อนข้างจาง จางมาก แต่ยังเห็นอยู่ ส่วน T ก็กลาง ๆ ตรงนี้เข้าใจได้

ก็ะกลับไปดูว่าอีกไทป์หนึ่งที่แบบทดสอบนั้นบอกเราคืออะไร (เพราะจำไม่ได้) พอเปิดขึ้นมาก็ตื่นเต้นมาก เพราะมันคือ INTP จริง ๆ หนึ่งเดียวที่ยืนหยัดระหว่าง INTJ ทั้งสองตัว ซึ่งมันพอจะช่วยพิสูจน์ได้ว่าเราไม่ได้มโนมั่วไปเอง หรือคิดเข้าข้างตัวเองอย่างแต่ก่อน


ถึงตรงนี้ เราที่เริ่มเข้าใจ Cognitive Function แล้ว ก็เริ่มมองผลแปลคะแนนของเว็บนั้นออก แล้วเห็นภาพอย่างเข้าใจมากขึ้น ก็ถึงขนาดแคปภาพผลทดสอบเก็บไว้รออ่านในวันที่เข้าใจ มุ่งมั่นมาก

ซึ่งพออ่านดูแล้ว เราก็เห็นว่าทำไมแบบทดสอบนี้และอื่น ๆ ถึงมักออกมาเป็น INTJ เพราะ Function เด่นของเราตัวแรกเป็นของ INTJ แล้วตัว 2 3 เป็นของ INTP แย่งชิงกันไปมากับ INTJ อย่างเมามัน

กล่าวคือ ถ้าว่ากันตามค่าประมาณแล้ว Function ของ INTP รวมตัวกันอยู่ในระดับกลาง ๆ มีแนวโน้มไปในทางเดียวกัน ขณะที่ INTJ มันโดดขึ้นมาเป็นตัว ๆ เว็บจึงมักแปลผลเราเป็น INTJ เพราะเราเข้าใจและแสดงออกไปแบบนั้น (ตามที่เล่าไปข้างบน)


ดังนั้นตอนนี้เราพอใจกับคำตอบของเราแล้วว่าทำไมเราถึงเหมือน INTJ  แต่สิ่งที่เราเด่นจริง ๆ หรือใช้งานร่วมกันได้ดี อยู่ใน Function ของ INTP มากกว่า

การรู้สิ่งนี้มันได้ทำให้เรากลับมายอมรับตัวเอง สิ่งที่เราเป็น เลิกกดดันตัวเองไปในทางที่ไม่ถูกไม่ควรเพื่อความสมบูรณ์แบบ แล้วเข้าใจว่าทำไมเราถึงทำแล้วออกมาเป็นแบบนี้ กลับมาทำและส่งเสริมในสิ่งที่เราถนัดจริง ๆ จะดีกว่า ไม่ยึดติดกับสิ่งที่คิดว่าเป็น แต่เลือกสิ่งที่เป็นจริง ๆ

แม้คำตอบอาจจะไม่ได้มาจากผู้เชี่ยวชาญว่า ใช่ แน่นอน ไม่มีอะไรพิสูจน์นอกจากความเข้าใจของเรา แต่เราก็พึงพอใจกับผลของมัน เพราะสุดท้ายเราก็คือคนที่รู้จักตัวเองดีที่สุด ในอนาคตถ้าพิสูจน์ได้ว่าตอนนี้เราคิดผิด เราก็พร้อมจะเปลี่ยนให้มันเป็นความเข้าใจที่ถูก ซึ่งเราจะยินดีมาก

ใช่ ตอนนี้เรากำลังมีความสุข


มาถึงเรื่องที่เราต้องการจะเข้าจริง ๆ กันดีกว่า เพราะชื่อตอนมันคือ 'จุดจบของ INTP' ไม่ใช่ 'จุดจบของ INTJ' แล้วที่เขียนเล่าเรื่องไทป์ไปเนี่ย มันเป็นจุดจบของ INTJ ชัด ๆ

ขยับกลับไปตอนที่เราเริ่มสังหรณ์ใจว่าเราเป็น INTP มันเป็นตอนที่เราเริ่มได้เห็นภาพชัดขึ้นว่า "ทำไม นิยายที่เราเขียน หรือ ทีสิสละครที่เราเคยทำ มันช่างออกมาแข็งกระด้าง ทุเรศทุรังและน่าสับสนขนาดนี้" มันเป็นเพราะ ความเป็น INTP ของเรา

ช่วงปี 3-4 นี่ น่าจะเป็นช่วงที่ INTP กลับมาปลดแอกตัวเอง แย่งพื้นที่คืนจาก INTJ อย่างเห็นได้ชัดที่สุดแล้ว


เขียนนิยายได้สับสน แข็งทื่อ กระด้าง ทอดทิ้งข้อมูลอะไรไม่ได้เลย ออกแนวไปทางน่าเบื่อ...สำหรับคนอื่น แต่เรากลับเห็นว่ามันสนุกและดี เพราะเข้าใจอยู่คนเดียว และยังคงเขียนต่อไปอย่างไม่สนโลก มันเป็นเพราะแบบนี้

รักในความแตกต่างของตัวเอง แล้วใครเขาจะอยากอ่านนิยายของแก???


ซึ่งก็มองขยับไปอีกเรื่องหนังที่เราชอบดูหนัง เรามักวิเคราะห์บท ด้วยตรระกะ ชื่นชมความเป็นตรรกะ แต่ไม่ใยดีอารมณ์ความรู้สึกของตัวละคร (ตราบเท่าที่เราไม่อิน) แล้วนำเสนอออกมาได้โคตรวิชาการ (ความหมายคือน่าเบื่อ) นำเสนอออกมาได้โคตรไม่เข้าใจ เพราะแกเหมือนเด็กเนิร์ด ที่เข้าใจแต่สื่อสารได้แย่

เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงชอบพูดอ้อมโลก เพื่ออธิบายอะไรง่าย ๆ ประโยคเดียว

เข้าใจว่าทำไมถึงอธิบายความรู้สึกตัวเองไม่ได้ อธิบายความคิดไม่ได้ ทำให้คนอื่นเข้าใจด้วยวิธีง่าย ๆ ไม่ได้ ทำไมคนถึงชอบมองว่าเราฟังดูสับสน ติสแตก (ซึ่งเราไม่เคยยอมรับว่ามันจริง เพราะเรารู้ว่าเราไม่ได้ติส แต่คนแค่คิดไปเอง) 

ไอเดียมากแต่ทำไมทำไม่สำเร็จ เจ้าระเบียบแต่ก็รก เป๊ะแต่ก็หลุด ขี้ลังเล ต้องมีแผนสำรอง เปลี่ยนใจในนาทีสุดท้าย ไม่ชัดเจน เอ๊ะ ๆ ๆ ตลอด เข้าใจตัวเองทั้งหมด ราวกับตื่นรู้ภายในชั่วข้ามคืน

นี่คือจุดจบของ INTP ที่ผ่านมาทั้งหมด ชีวิตแกพังเพราะไม่เข้าใจและยอมรับสิ่งนี้ ซึ่งต่อจากนี้จะขอเกิดใหม่แล้ว


เราไม่เสียดายนะ ที่รู้ตอนนี้ ไม่รู้สึกว่ารู้เร็วกว่านี้ก็ดี ซึ่งแต่ก่อนอาจจะเป็น ตอนนี้กลับรู้สึกว่าเราเองก็ค่อย ๆ เติบโตขึ้นในแบบของเรา อาจจะช้าบ้าง แต่ทั้งหมดก็เป็นเรา ถึงเราจะไม่รู้ก็ตาม

ซึ่งมันเป็นข้อดีนะว่าพอเราเข้าใจตรงนี้แล้ว ยอมรับตัวเองได้มากขึ้น เราจะเอามาแก้ไขปัญหาเรื่องงานเขียน (นิยาย) ของเรายังไงให้เป็นประโยชน์

ซึ่งเราก็ยังชอบความงุนงงอ่านไม่รู้เรื่องของเราอยู่ ด้วยวิธีการนำเสนอ เพราะมันคือวิธีที่เราถ่ายทอดออกมา จะให้ไปลอกสไตล์งานคนอื่นมันจะยิ่งแย่ ไม่เป็นตัวเอง

ถึงทุกสิ่งที่เราทำไปแล้วดูออกมาแย่ในตอนแรก เราก็ยังโอเคกับมัน แต่ปัญหาคืองานชิ้นแรก เราโฟกัสที่ความสมบูรณ์แบบมากเกินไปจนดันทุรัง งานที่ตึงอยู่แล้ว ยิ่งไม่สนุกด้วยก็ตึงไปใหญ่ แล้วยังกดดันตัวเองอีก เราถือว่างานชิ้นแรกให้พบทเรียนเราได้หลายอย่างเลย

ก่อนหน้าจะเข้าใจเรื่องนี้ นั่งคิดหาวิธีแก้ไขนานมากว่าเป็นเพราะอะไร จะทำอย่างไรดี ให้งานเขียนเราน่าสนใจขึ้น เพราะไม่รู้จะแก้อย่างไร ที่ตรงไหน ปัญหาคืออะไร จนไม่กล้าเขียนเรื่องที่สองต่อ กลัวกลับไปลูปของการ ลบแก้ ลบแก้อีก ไม่ดีพอ ลบทำใหม่ ย้ำคิดย้ำทำ วกนอยู่กับอะไรตรงนนั้น ไม่เสร็จสักที

แต่ตอนนี้รู้ละ


แล้ววิธีการแก้ไขที่เราจะใช้คือ เราจะใช้ความเป็นตัวเองในงานเขียนต่อไป อ้าว อีนี่ แต่....ในแบบที่มีสติควบคุมมากขึ้น รู้จักฉลาดใช้วิธีการนำสารออกของตัวเองให้มาเป็นประโยชน์กับการเล่าเรื่อง อาจจะมีความงุนงงอยู่บ้าง ฟังดูสะเปะสะปะสับสนบ้าง เพราะเราตั้งใจว่าจะเอาปรับมาใช้เป็นสไตล์การเล่าเรื่องของเรา

ซึ่งต่อจากนี้คงต้องฉลาดมากขึ้น ไม่รู้ว่าจะทำได้ถึงขนาดไหน แต่พอเข้าใจที่มาที่ไป ใด ๆ แล้วก็น่าจะง่ายขึ้น เห็นภาพชัดขึ้น แต่ยังคงต้องพยายามอยู่ ตอนนี้มีกำลังใจขึ้นมาก อยากลอง อยากเห็นแล้ว รู้สึกกำลังโตเข้าหาแสง

งานของฉันมันจะต้องปัง แต่มันจะพังถ้าแกไม่ทำ 555


ดูที่เขียนมาก็พอจะเป็นข้อพิสูจน์ความอ้อมโลกของ INTP ได้ระดับหนึ่งทีเดียว


แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น